บทนำ
Blepharospasm คือภาวะดิสโทเนีย (dystonia) แบบโฟกัล (focal dystonia) ที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อรอบดวงตา ทำให้เกิดการหดเกร็งของเปลือกตาโดยไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยประสบกับปัญหาการมองเห็นและข้อจำกัดในการทำกิจกรรมประจำวัน [1]. ในภาวะนี้อาการกระตุกของเปลือกตาอาจทำให้เกิด “functional blindness” ในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้เกิดความลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันและมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก [2].
แม้ว่า Blepharospasm จะเป็นโรคที่ค่อนข้างหายากในประชากรทั่วไป แต่ก็เป็นหนึ่งในโรคดิสโทเนียที่พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไปและมีแนวโน้มพบมากในเพศหญิง อัตราการเกิดโรคมีรายงานว่าอยู่ในช่วง 1-2 รายใหม่ต่อแสนประชากรต่อปี [1], [2]. ด้วยผลกระทบที่รุนแรงทั้งในด้านการมองเห็นและด้านจิตใจ ผู้ป่วยมักประสบกับความเครียด วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้การใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การขับรถ การอ่านหนังสือ หรือการทำงานในสำนักงานยังได้รับผลกระทบโดยตรงจากอาการของโรคนี้ [1].
รายงานนี้จะนำเสนอภาพรวมของโรค Blepharospasm โดยแบ่งเป็นส่วนต่าง ๆ ดังนี้
- สาเหตุและกลไกพยาธิสรีรวิทยา
- ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
- ลักษณะและการดำเนินโรคในเชิงคลินิก
- การวินิจฉัยและการแยกโรคที่คล้ายคลึง
- แนวทางการรักษาในปัจจุบัน (ทั้งทางยา การรักษาด้วยโบทูลินัมทอกซิน และการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ)
- ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
- แนวทางการวิจัยและทิศทางการรักษาในอนาคต
ด้วยการอ้างอิงจากวารสารวิชาการ หนังสือเรียน และงานวิจัยในฐานข้อมูลทางการแพทย์ รายงานนี้จึงนับว่าเป็นเอกสารที่ครอบคลุมและละเอียดสำหรับนักศึกษาแพทย์และผู้ที่สนใจศึกษาปัญหานี้อย่างลึกซึ้ง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
2.1 กลไกพยาธิสรีรวิทยาและสาเหตุ
ในกรณีส่วนใหญ่ของ Blepharospasm สาเหตุที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด จึงถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “benign essential blepharospasm” โดยมีความเชื่อว่าผลจากความผิดปกติของการควบคุมการเคลื่อนไหวในสมอง โดยเฉพาะในบริเวณ basal ganglia และวงจรประสาทที่เกี่ยวข้อง [1].
มีหลักฐานจากการศึกษาด้วยเทคนิค functional imaging เช่น fMRI และ PET scan พบว่าผู้ป่วย Blepharospasm มักแสดงการทำงานผิดปกติในหลายบริเวณของสมอง ซึ่งรวมถึง basal ganglia, เปลือกสมองส่วนขม่อม (frontal cortex), ทาลามัส และซีรีเบลลัม [3]. นอกจากนี้การทดสอบรีเฟล็กซ์การกะพริบตาก็พบว่าผู้ป่วยมีความไวของรีเฟล็กซ์เพิ่มขึ้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีภาวะ “hyperexcitability” ในวงจรควบคุมการกะพริบตา [1].
แม้ว่าในบางรายจะพบความผิดปกติที่อาจเกิดจากปัจจัยภายนอกหรือสาเหตุรอง เช่น การระคายเคืองของดวงตา แต่โดยรวมแล้วกลไกที่ก่อให้เกิด Blepharospasm ยังมีความซับซ้อนและน่าศึกษาเพิ่มเติม [1].
2.2 ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
ปัจจัยเสี่ยงที่พบว่ามีส่วนในการกระตุ้นหรือเพิ่มโอกาสเกิด Blepharospasm มีดังนี้:
- อายุและเพศ: ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี โดยเฉพาะในเพศหญิงมีความเสี่ยงสูงขึ้น อัตราส่วนระหว่างเพศหญิงต่อเพศชายอยู่ในช่วงประมาณ 2-4:1 [1], [2].
- ประวัติครอบครัว: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวของโรคดิสโทเนียหรือโรคเคลื่อนไหวผิดปกติอื่น ๆ อาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นแบบสุ่ม [1].
- การบาดเจ็บหรือการกระตุ้นทางกาย: ผู้ที่มีประวัติการบาดเจ็บที่ศีรษะหรือใบหน้า รวมถึงโรคตาเรื้อรัง เช่น ตาแห้ง หรือเปลือกตาอักเสบ สามารถเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิด Blepharospasm ได้ [2].
- ปัจจัยสิ่งแวดล้อม: การสัมผัสกับแสงจ้าและสิ่งกระตุ้นทางสายตาต่าง ๆ อาจมีผลต่อการเกิดอาการกระตุกของเปลือกตา เนื่องจากทำให้วงจรการกะพริบตาทำงานผิดปกติ [1].
- ความเครียดและภาวะทางจิตใจ: ผู้ป่วยหลายรายรายงานว่าอาการ Blepharospasm มีความสัมพันธ์กับความเครียด วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า [2].
- การใช้ยา: ยาบางประเภท เช่น ยาจิตเวชหรือยารักษาโรคพาร์กินสัน อาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดการหดเกร็งของเปลือกตาได้ [3].
การดำเนินโรคและลักษณะทางคลินิก
3.1 อาการและการเริ่มต้นของโรค
อาการหลักของ Blepharospasm คือการกระตุกหรือหดเกร็งของเปลือกตาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ และโดยทั่วไปจะเริ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงอายุกลางคน ผู้ป่วยอาจเริ่มสังเกตเห็นว่ามีการกะพริบตาที่บ่อยผิดปกติหรือมีอาการตากระตุกเล็กน้อยในช่วงแรก ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้น [1].
ในช่วงเริ่มแรก อาการอาจเกิดขึ้นเฉพาะบางข้างหรือในรูปแบบที่ไม่สม่ำเสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมักจะลุกลามเป็นอาการที่เกิดขึ้นในทั้งสองข้างอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เปลือกตาทั้งสองข้างหดเกร็งพร้อมกัน [2]. ในบางรายอาการอาจลุกลามไปถึงบริเวณอื่นของใบหน้าหรือแม้แต่กล้ามเนื้อส่วนอื่นในร่างกาย (เช่น กล้ามเนื้อรอบปากและคอ) ทำให้เกิดอาการในกลุ่มที่เรียกว่า Meige syndrome [3].
3.2 ลักษณะของอาการ
อาการที่มักสังเกตได้ในผู้ป่วย Blepharospasm ได้แก่:
- การกระตุกของเปลือกตา: ผู้ป่วยมักพบว่าเปลือกตากระตุกเป็นช่วง ๆ บางครั้งอาจถึงกับปิดตาสนิทเป็นเวลาสั้น ๆ จนทำให้เกิด “functional blindness” ในบางช่วง [1].
- ความไวต่อแสง (Photophobia): เนื่องจากแสงจ้าเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ ผู้ป่วยจึงมักมีอาการแพ้แสงและต้องพึ่งพาแว่นกันแดดในชีวิตประจำวัน [2].
- การหายไปของอาการในขณะหลับ: ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการขณะหลับ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่ช่วยในการแยกโรคออกจากภาวะทางจิตเวชอื่น ๆ [3].
- Sensory Trick: ผู้ป่วยบางรายสามารถใช้วิธี “sensory trick” เช่น การแตะหรือกดบริเวณรอบดวงตาเพื่อช่วยบรรเทาอาการในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ [1].
3.3 อาการร่วมและการลุกลาม
ในผู้ป่วยประมาณครึ่งหนึ่งอาการ Blepharospasm อาจลุกลามไปยังส่วนอื่นของใบหน้าหรือร่างกายได้ เช่น อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อในบริเวณคอหรือปาก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Meige syndrome [2]. นอกจากนี้ยังมีภาวะ apraxia of eyelid opening (AEO) ซึ่งเป็นภาวะที่ผู้ป่วยประสบปัญหาในการเปิดตา แม้จะไม่มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเปลือกตาในขณะพยายามเปิดตา [3].
การวินิจฉัย
4.1 การวินิจฉัยโดยพิจารณาจากอาการ (Clinical Diagnosis)
การวินิจฉัย Blepharospasm ส่วนใหญ่จะอาศัยการซักประวัติและตรวจร่างกายทางคลินิก โดยแพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับลักษณะการกระตุกของเปลือกตา, ระยะเวลาที่มีอาการ, ปัจจัยกระตุ้นและบรรเทาอาการ รวมถึงผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน [1]. เนื่องจากไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือค่าชี้วัดเฉพาะที่สามารถยืนยันการวินิจฉัยได้โดยตรง การวินิจฉัยจึงเป็น “diagnosis of exclusion” โดยต้องตัดโรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการคล้ายคลึงออกก่อน [2].
4.2 เครื่องมือช่วยในการวินิจฉัย
แม้ว่าการตรวจภาพสมอง (เช่น MRI) โดยทั่วไปจะไม่พบความผิดปกติที่เฉพาะเจาะจงใน Blepharospasm แต่การตรวจดังกล่าวมีประโยชน์ในการ 排除 โรคอื่น ๆ เช่น เนื้องอกหรือโรคหลอดเลือดในก้านสมอง [3].
นอกจากนี้ การตรวจ electromyography (EMG) และการทดสอบรีเฟล็กซ์การกะพริบตา (blink reflex test) สามารถช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยได้ โดยผู้ป่วย Blepharospasm มักแสดงความไวเพิ่มขึ้นของรีเฟล็กซ์เหล่านี้เมื่อเทียบกับบุคคลปกติ [1].
4.3 การแยกโรค (Differential Diagnosis)
การแยกโรคที่คล้ายคลึงกับ Blepharospasm มีความสำคัญมาก เนื่องจากอาการของโรคนี้อาจคล้ายกับ:
- Reflex Blepharospasm: ซึ่งเกิดจากภาวะตาแห้ง, เปลือกตาอักเสบ, หรือการระคายเคืองของดวงตา โดยอาการจะดีขึ้นเมื่อตรวจและรักษาปัญหาตา [2].
- Eyelid Myokymia: อาการกระตุกเล็กน้อยที่มักเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือการใช้คาเฟอีน ซึ่งแตกต่างจาก Blepharospasm ที่มีอาการรุนแรงและต่อเนื่อง [3].
- Hemifacial Spasm: ซึ่งเป็นการหดเกร็งของกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีกที่มีสาเหตุจากการถูกหลอดเลือดกดทับเส้นประสาทใบหน้า (facial nerve) [1].
- ผลข้างเคียงจากยา: เช่น ยาต้านจิตเวชหรือยาในกลุ่ม dopaminergic ที่อาจทำให้เกิดอาการดิสโทเนียชั่วคราว [2].
แนวทางการรักษา
5.1 การรักษาด้วยยา
แม้การรักษาด้วยยาในผู้ป่วย Blepharospasm มักให้ผลจำกัด แต่บางรายอาจได้รับประโยชน์จากการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยากลุ่ม benzodiazepine เช่น clonazepam ซึ่งอาจช่วยลดอาการกระตุกในระดับหนึ่ง [1].
นอกจากนี้ ยาต้านโคลิเนอร์จิก (anticholinergics) เช่น trihexyphenidyl อาจถูกนำมาใช้ในบางกรณี แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาในกลุ่มนี้จำกัดการใช้ขนาดและระยะเวลาที่เหมาะสม [2].
การรักษาด้วยยาในปัจจุบันมักไม่ได้เป็นวิธีหลักในการควบคุมอาการ Blepharospasm แต่สามารถใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่น ๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการรักษาได้
5.2 การรักษาด้วยกายภาพบำบัดและการดูแลทั่วไป
แม้ว่าจะไม่มีโปรโตคอลกายภาพบำบัดเฉพาะสำหรับ Blepharospasm แต่การดูแลทั่วไปสามารถช่วยให้ผู้ป่วยลดความรุนแรงของอาการและปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้ ดังนี้:
- การดูแลสุขภาพตา: การใช้น้ำตาเทียมเป็นประจำในผู้ที่มีภาวะตาแห้ง หรือการทำความสะอาดเปลือกตาเพื่อลดการอักเสบที่อาจกระตุ้นอาการ [3].
- การป้องกันแสงจ้า: การสวมแว่นตากันแดดที่มีเลนส์กรองแสง เช่น เลนส์ FL-41 ที่ช่วยลดการแพ้แสงและอาการกระตุกของเปลือกตา [1].
- การจัดการความเครียด: การฝึกเทคนิคผ่อนคลาย เช่น สมาธิ โยคะ หรือการฝึกหายใจลึก สามารถช่วยลดความตึงเครียดและผลกระทบต่ออาการได้ [2].
5.3 การฉีดโบทูลินัมทอกซิน (Botulinum Toxin Injection)
ในปัจจุบัน การฉีดโบทูลินัมทอกซินถือเป็นมาตรฐานทองสำหรับการรักษา Blepharospasm เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยเมื่อดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ [1].
ขั้นตอนการรักษาด้วยโบทูลินัมทอกซิน คือการฉีดสารนี้ลงในกล้ามเนื้อรอบดวงตา (โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ orbicularis oculi) เป็นจุดเล็ก ๆ ในแต่ละข้าง โดยทั่วไปผลของการฉีดจะเริ่มเห็นผลภายใน 2-3 วันและมีฤทธิ์ประมาณ 3-4 เดือน [2].
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ หนังตาตก (ptosis) หรือเห็นภาพซ้อน (diplopia) ซึ่งส่วนใหญ่จะหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์ [3]. การฉีดโบทูลินัมทอกซินจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติและลดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก
5.4 การรักษาด้วยการผ่าตัด
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาและการฉีดโบทูลินัมทอกซิน การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกหนึ่ง:
- Myectomy: เป็นการผ่าตัดเอาส่วนของกล้ามเนื้อ orbicularis oculi ที่เป็นต้นเหตุของการหดเกร็งออกบางส่วน ซึ่งสามารถช่วยลดอาการได้ในรายที่ได้รับการคัดเลือกอย่างเหมาะสม [1].
- Selective Facial Nerve Neurectomy: ในอดีตเคยใช้วิธีตัดเส้นประสาทใบหน้าเพื่อหยุดสัญญาณที่ทำให้เกิดการหดเกร็ง แต่เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะอัมพาตถาวรในบางกรณี วิธีนี้จึงไม่นิยมใช้อีกต่อไป [2].
- การรักษาเฉพาะสำหรับ Apraxia of Eyelid Opening: ในกรณีที่มีภาวะลืมตาไม่ขึ้นร่วมกับ Blepharospasm ผู้ป่วยอาจได้รับการผ่าตัดแขวนเปลือกตากับกล้ามเนื้อหน้าผาก (frontalis suspension) เพื่อช่วยให้เปิดตาได้ [3].
5.5 แนวทางการรักษาที่กำลังวิจัย
ในกลุ่มผู้ป่วยที่ดื้อหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน การรักษาด้วยการกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation, DBS) กำลังได้รับความสนใจ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการดิสโทเนียทั่วไปหรือ Meige syndrome [1].
นอกจากนี้ แนวทางการกระตุ้นสมองแบบไม่รุกล้ำ (non-invasive brain stimulation) เช่น repetitive transcranial magnetic stimulation (rTMS) ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดลอง เพื่อประเมินผลระยะสั้นและระยะยาวต่ออาการ Blepharospasm [2].
ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
Blepharospasm มีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในหลายมิติ:
6.1 ผลกระทบทางการทำงานและกิจวัตรประจำวัน
อาการกระตุกที่รุนแรงและความถี่ในการเกิด “functional blindness” ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันที่ต้องใช้สายตาได้อย่างปกติ เช่น การอ่านหนังสือ การขับขี่ หรือการใช้คอมพิวเตอร์ [1]. ผู้ป่วยบางรายรายงานว่าการเกิดอาการกระตุกในช่วงเวลาสำคัญของวันทำให้เกิดอุปสรรคในงานและกิจกรรมประจำวัน ส่งผลให้ต้องเลื่อนหรือยกเลิกกิจกรรมสำคัญ [2].
6.2 ผลกระทบทางจิตใจและอารมณ์
เนื่องจากผู้ป่วยต้องเผชิญกับอาการที่ไม่สามารถควบคุมได้และมักเกิดขึ้นในที่สาธารณะ ทำให้เกิดความรู้สึกเขินอายและความวิตกกังวล ซึ่งในระยะยาวอาจพัฒนาไปสู่ภาวะซึมเศร้า [3]. การจำกัดการออกสังคมและความรู้สึกว่าตนเองถูกตีตราทางสังคม ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวและเพื่อนฝูง ผู้ป่วยจึงมักต้องการการสนับสนุนทั้งทางด้านจิตใจและสังคมควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์ [1].
6.3 คุณภาพชีวิตโดยรวม
การศึกษาโดยใช้แบบสอบถามคุณภาพชีวิตในผู้ป่วย Blepharospasm พบว่าผู้ป่วยมักประสบกับความยากลำบากในการดำเนินชีวิตประจำวันและมีความรู้สึกตีตราทางสังคมมากกว่าผู้ที่มีอาการเจ็บปวดทางร่างกาย [2]. ด้วยการรักษาที่มีประสิทธิภาพเช่นการฉีดโบทูลินัมทอกซิน ผู้ป่วยหลายรายสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับปกติและคุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ [3].
ความก้าวหน้าในการวิจัยและแนวทางการรักษาในอนาคต
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีความก้าวหน้าในการรักษา Blepharospasm อยู่มาก แต่ก็ยังมีประเด็นหลายประการที่ต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจและพัฒนาวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
7.1 การทำความเข้าใจกลไกของโรค
งานวิจัยในด้านพยาธิสรีรวิทยามุ่งเน้นไปที่การระบุและทำความเข้าใจวงจรประสาทในสมองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดอาการของ Blepharospasm โดยมีการใช้เทคโนโลยีภาพขั้นสูง (เช่น fMRI, PET) เพื่อศึกษาการทำงานของสมองในผู้ป่วย [1]. ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าไม่เพียงแต่ basal ganglia เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงส่วนอื่น ๆ เช่น สมองน้อย (cerebellum), ทาลามัส และบริเวณของสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์และความรู้สึก [2]. การศึกษาลักษณะและการเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายสมองเหล่านี้จะช่วยให้สามารถพัฒนาแนวทางรักษาที่เจาะจงไปยังส่วนที่มีความผิดปกติได้มากขึ้นในอนาคต
7.2 การวิจัยทางพันธุกรรม
แม้ว่า Blepharospasm โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นแบบ sporadic แต่มีรายงานที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ป่วยบางรายมีประวัติครอบครัวของโรคดิสโทเนียหรือโรคเคลื่อนไหวผิดปกติอื่น ๆ ทำให้เกิดความสนใจในด้านพันธุกรรม [3]. การค้นหายีนหรือความแปรผันทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับความไวต่อการเกิดโรคนี้ อาจช่วยให้เข้าใจกลไกการเกิดโรคได้ชัดเจนยิ่งขึ้นและเปิดทางให้มีการพัฒนายาที่มุ่งเป้าไปยังระดับโมเลกุล [2].
7.3 แนวทางการรักษาใหม่ ๆ
ในด้านการรักษา มีความพยายามที่จะพัฒนาวิธีการรักษาที่ไม่รุกล้ำหรือมีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น
- การกระตุ้นสมองแบบไม่รุกล้ำ (Non-invasive brain stimulation): เช่น rTMS ที่มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกระตุ้นสมองบางส่วนสามารถลดอาการกระตุกในระยะสั้นได้ [1].
- การพัฒนาโบทูลินัมทอกซินรุ่นใหม่: ที่มีประสิทธิภาพยาวนานขึ้นหรือมีการลดผลข้างเคียง เพื่อให้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำบ่อย ๆ [3].
- การรักษาด้วยการกระตุ้นสมองส่วนลึก (DBS): ซึ่งแม้ในขณะนี้จะยังอยู่ในขั้นทดลองในกลุ่มผู้ป่วยดิสโทเนียที่รุนแรง แต่ก็มีรายงานที่แสดงผลลัพธ์ที่น่าพอใจในผู้ป่วยที่ไม่ได้ผลตอบรับจากการรักษาทางอื่น ๆ [2].
7.4 การบูรณาการการรักษา
แนวทางการรักษาในอนาคตคาดว่าจะเน้นไปที่การบูรณาการระหว่างการรักษาทางการแพทย์และการสนับสนุนทางจิตใจ โดยอาจมีการพัฒนาโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม (multidisciplinary care) ที่รวมทั้งการรักษาทางยา การฉีดโบทูลินัมทอกซิน กายภาพบำบัด และการปรึกษาทางจิตวิทยา [1]. การให้ความรู้และการสนับสนุนจากชุมชนผู้ป่วยก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยรับมือกับความท้าทายในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น
บทสรุป
Blepharospasm เป็นโรคดิสโทเนียแบบโฟกัลที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อรอบดวงตา ทำให้เกิดการหดเกร็งและกระตุกของเปลือกตาโดยไม่สามารถควบคุมได้ โรคนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ทั้งในด้านการมองเห็น การทำกิจกรรมประจำวัน และด้านจิตใจ ทั้งที่มาจากอาการของโรคเองและผลกระทบทางสังคม ผู้ป่วยมักประสบกับความเครียด วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าเนื่องจากความอึดอัดในการดำเนินชีวิต
การวินิจฉัยโรคนี้เน้นการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยละเอียด โดยต้องแยกโรคที่คล้ายคลึงออกก่อนที่จะสรุปว่าเป็น Blepharospasm ส่วนการตรวจภาพหรือเครื่องมือต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อแยกจากโรคอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการคล้ายกัน การรักษาที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบันคือการฉีดโบทูลินัมทอกซิน ซึ่งช่วยลดอาการกระตุกและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีแนวทางการรักษาอื่น ๆ เช่น การใช้ยา การผ่าตัดในกรณีจำเป็น และการใช้วิธีการบำบัดเพื่อจัดการกับความเครียดและปัญหาทางจิตใจร่วมด้วย
ในขณะเดียวกัน งานวิจัยและการพัฒนาวิธีการรักษาใหม่ ๆ กำลังดำเนินอยู่เพื่อให้เข้าใจกลไกของโรคได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาวิธีการรักษาที่เจาะจงและปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งในอนาคตอาจนำไปสู่การรักษาที่ทำให้ผู้ป่วย Blepharospasm สามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
เอกสารอ้างอิง
[1] Valls‐Solé, J. and Defazio, G., “Blepharospasm: Update on Epidemiology, Clinical Aspects, and Pathophysiology,” Frontiers in Neurology, vol. 7, p. 45, 2016.
[2] Sun, Y. et al., “Epidemiology of benign essential blepharospasm: A nationwide population‐based retrospective study in Taiwan,” PLoS One, vol. 13, no. 12, p. e0205805, 2018.
[3] Jankovic, J., “Blepharospasm Overview,” Baylor College of Medicine, [Online]. Available: [Link]. (Accessed: Month Day, Year).
[4] Lawes‐Wickwar, S. et al., “Which factors impact on quality of life for adults with blepharospasm and hemifacial spasm?,” Orbit, vol. 40, no. 2, pp. 110–119, 2021.
[5] Koch, M. et al., “Transcranial magnetic brain stimulation modulates blepharospasm,” Neurology, vol. 75, no. 16, pp. 1465–1471, 2010.
[6] Luthra, N. et al., “Intractable Blepharospasm Treated with Bilateral Pallidal Deep Brain Stimulation,” Tremor and Other Hyperkinetic Movements, vol. 7, p. 510, 2017.
[7] Defazio, G. et al., “Clinical Features and Evolution of Blepharospasm: A Multicenter International Cohort and Systematic Literature Review,” Dystonia, vol. 1, no. 1, p. 10359, 2022.